เมนู

เราเองเป็นอุปัชฌายะของพระนาง, ชื่อว่าความรังเกียจในพระขีณาสพ
ทั้งหลาย ผู้เว้นแล้วจากทุจริตทั้งหลายมีกายทุจริตเป็นต้น อันเธอทั้งหลาย
ไม่ควรทำ" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
8. ยสฺส กาเยน วาจาย มนสา นตฺถิ ทุกฺกตํ
สํวุตํ ตีหิ ฐาเนหิ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.
" ความชั่วทางกาย วาจา และใจ ของบุคคลใด
ไม่มี, เราเรียกบุคคลนั้น ผู้สำรวมแล้วโดยฐานะ 3
ว่า เป็นพราหมณ์."

แก้อรรถ


กรรมมีโทษ คือมีทุกข์เป็นกำไร อันยังสัตว์ให้เป็นไปในอบาย
ชื่อว่า ทุกฺกตํ ในพระคาถานั้น.
สองบทว่า ตีหิ ฐาเนหิ ความว่า เราเรียกบุคคลผู้มีทวารอันปิด
แล้ว เพื่อต้องการห้ามความเข้าไปแห่งทุจริตเป็นต้น โดยเหตุ 3 มีกาย
เป็นต้นเหล่านั้นว่า เป็นพราหมณ์.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมี จบ.

9. เรื่องพระสารีบุตรเถระ [272]



ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสารีบุตร-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยมฺหา ธมฺมํ วิชาเนยฺยํ " เป็นต้น.

พระสารีบุตรเคารพในพระอัสสชิผู้อาจารย์


ได้ยินว่า ท่านพระสารีบุตรนั้น จำเดิมแต่กาลที่ท่านฟังธรรมใน
สำนักของพระอัสสชิเถระแล้วบรรลุโสดาปัตติผล สดับว่า " พระเถระ
ย่อมอยู่ในทิศใด" ก็ประคองอัญชลีไปทางทิศนั้น นอนหันศีรษะไปทาง
ทิศนั้นแล.
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า " พระสารีบุตรเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถึงวันนี้ก็เที่ยว
นอนน้อมทิศทั้งหลายอยู่ " ดังนี้แล้ว กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระ-
ตถาคต.
พระศาสดารับสั่งให้เรียกพระเถระมาแล้ว ตรัสถามว่า " สารีบุตร
นัยว่า เธอเที่ยวนอบน้อมทิศทั้งหลายอยู่ จริงหรือ ?" เมื่อพระเถระ
กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า พระองค์เท่านั้นย่อมทรงทราบความเป็นคือ
อันนอบน้อมหรือไม่นอบน้อมทิศทั้งหลาย ของข้าพระองค์ " ดังนี้แล้ว,
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมไม่นอนน้อมทิศทั้งหลาย, แต่เพราะ
ความที่เธอฟังธรรมจากสำนักของพระอัสสชิเถระ แล้วบรรลุโสดาปัตติผล
จึงนอบน้อมอาจารย์ของตน; เพราะว่า ภิกษุอาศัยอาจารย์ใด ย่อมรู้ธรรม,
ภิกษุนั้นพึงนอบน้อมอาจารย์นั้นโดยเคารพ เหมือนพราหมณ์นอบน้อมไฟ
อยู่ฉะนั้น" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-